Version

การติดเชื้อแทรกซ้อนในสุนัขที่มีอาการคัน (Secondary Infections in Itchy Dogs)

การเจริญเติบโตของเชื้อแทรกซ้อนและการติดเชื้อที่ผิวหนังด้วยเชื้อก่อโรค เช่น Staphylococcus intermedius และ Malassezia pachydermatis พบได้อยู่ทั่วไปในสุนัข การติดเชื้อที่ก่อให้เกิดอาการคันพบเกิดขึ้นได้ทั่วไปโดยเฉพาะในสุนัขที่เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการแพ้และอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญของโรคผิวหนังที่เกิดจากการแพ้ด้วย ดังนั้นการเจริญเติบโตของเชื้อแทรกซ้อนและการติดเชื้อจึงเป็นสาเหตุของการเพิ่มอาการคันในสุนัขที่แสดงอาการคันอยู่แล้ว การตรวจทางเซลล์วิทยาของผิวหนังเป็นวิธีการที่ดีในการตรวจการเจริญเติบโตของเชื้อได้และการตรวจทางเซลล์วิทยาด้วยสไลด์ของผิวหนังที่ผ่านเป็นเปลวไฟควรจะทำทุกๆ ครั้งที่มีการตรวจประเมินการติดเชื้อและเมื่อสุนัขแสดงอาการคันอีกครั้ง การย้อมสีสไลด์จะใช้ประเมินด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยใช้ทั้งเลนส์กำลังขยายสูงและเลนส์จุ่มน้ำมัน (oil emersion) สำหรับตรวจแบคทีเรีย เชื้อยีสต์ Malassezia และเซลล์อักเสบต่างๆ

โรคผิวหนังอักเสบแบบมีหนองชนิดกลับมาเป็นอีก (Recurrent Pyoderma)

สาเหตุสำคัญที่เป็นไปได้ของโรคผิวหนังอักเสบแบบมีหนองชนิดกลับมาเป็นอีกในสุนัขสามารถแบ่งได้เป็น โรคผิวหนังชนิดเป็นถาวร ภาวะภูมิไวเกินจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง การดื้อของเชื้อ Staphylococcus spp. และโรคผิวหนังอักเสบแบบมีหนองที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อ Staphylococcus spp. โรคผิวหนังชนิดเป็นถาวรพบบ่อยที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบแบบมีหนองชนิดกลับมาเป็นอีก รายงานที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคผิวหนังชนิดเป็นถาวรประกอบด้วย โรคภูมิแพ้ที่ไม่ได้เกิดจากการติดปรสิต (โรคผิวหนังอักเสบที่หาสาเหตุไม่ได้ atopic dermatitis, โรคภูมิแพ้อาหาร) โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการติดเชื้อปรสิต (โรคภูมิแพ้หมัด โรคขี้เรื้อนscabies โรคcheyletiellosis) โรคขี้เรื้อนdemodicosis โรคระบบต่อมไร้ท่อ โรคการจัดเรียงตัวของเซลล์ผิวหนัง โรคผิวหนังที่เกิดจากพันธุกรรม โรคมะเร็งผิวหนัง และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (แบบเป็นตั้งแต่กำเนิดหรือแบบเกิดขึ้นทีหลัง)

อาการคันในโรคผิวหนังอักเสบแบบมีหนองชนิดกลับมาเป็นอีกเป็นกุญแจสำคัญในการจัดความสำคัญและการแยกความแตกต่างของสาเหตุที่สำคัญ ถ้าอาการคันหายไปหลังจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแสดงว่าการอักเสบของผิวหนังแบบมีหนองเป็นสาเหตุของอาการคัน แต่ถ้าอาการคันยังคงอยู่อาจจะต้องหาสาเหตุของโรคผิวหนังที่แท้จริงต่อไป สาเหตุของอาการคันของโรคผิวหนังชนิดเป็นถาวรประกอบด้วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อปรสิต (โรคผิวหนังatopic dermatitis, โรคแพ้อาหาร) โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการติดเชื้อปรสิต (โรคแพ้หมัด โรคขี้เรื้อนsarcoptic acariasis) โรคการจัดเรียงตัวของเซลล์ผิวหนังบกพร่อง และโรคการติดเชื้อร่วมกันกับโรคผิวหนังที่เกิดจาก Malassezia
เป้าหมายหลักของการจัดการระยะยาวต่อโรคผิวหนังอักเสบแบบมีหนองชนิดกลับมาเป็นอีกประกอบด้วยการป้องกันการกลับมาเป็นใหม่ของการอักเสบของผิวหนังแบบมีหนองหรือลดความถี่ของการกลับมาเป็นอีกซึ่งต้องการการจัดการระยะยาวสำหรับสาเหตุที่สำคัญและปัจจัยโน้มนำการเกิดโรค สัตวแพทย์ส่วนใหญ่ยืนยันว่าโรคผิวหนังอักเสบที่หาสาเหตุไม่ได้ในสุนัข (canine atopic dermatitis) ถูกวินิจฉัยว่าเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบแบบมีหนองชนิดกลับมาเป็นอีกบ่อยที่สุด การตรวจหาโรคอย่างจริงจังสำหรับสาเหตุของโรคผิวหนังหรือปัจจัยโน้มนำอื่นๆ ควรจะทำตั้งแต่ระยะแรกที่สุนัขไม่ตอบสนองอย่างสมบูรณ์ต่อการรักษาที่เหมาะสม สุนัขที่มีการติดเชื้อซ้ำหรือติดเชื้อที่ไม่ตอบสนองอย่างสมบูรณ์ต่อการรักษาที่เหมาะสมควรใช้แชมพูต้านแบคทีเรีย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ การรักษาด้วยการกระตุ้นภูมิคุ้มกันอาจจะมีประโยชน์เมื่อใช้ประกอบกัน การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะด้วยหลักการที่นอกเหนือออกไปควรจะระมัดระวังในการใช้ถ้าไม่ได้เป็นการป้องกันการกลับมาเป็นอีก

หลักการสำหรับการรักษาด้วยแชมพูต้านแบคทีเรียคือลดจำนวนแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนัง และจำกัดการเพิ่มจำนวนอีกครั้ง ตัวยาที่ออกฤทธิ์ประกอบด้วยเบนโซอิล เพอร์รอกไซด์ เบนโซอิล เพอร์รอกไซด์และกำมะถัน คลอเฮกซิดีน ไตรคลอซาน และเอทิล แลคเตท แต่การใช้ที่เหมาะสมต้องให้บ่อยประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ มีระยะเวลาการออกฤทธิ์ 15 นาที และการใช้แชมพูต้านแบคทีเรียซ้ำๆ ขัดขวางกับยาควบคุมหมัดแบบหยดหลังด้วย

หลักการสำหรับการรักษาด้วยการกระตุ้นภูมิคุ้มกันคือการกระตุ้นมีชีวิตรอดของภูมิคุ้มกันที่ดีและปรับเปลี่ยนการตอบสนองต่อเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดการจำกัดการกลับมาเป็นใหม่ ผลิตภัณฑ์ที่สามารถฆ่าแบคทีเรียได้ชนิดเดียวที่มีการสนับสนุนด้วยข้อมูลการทดลองสองกลุ่ม คือการให้ยาหลอกและกลุ่มควบคุมคือ Staphage Lysate® SPL (Delmont Labs) ผลิตภัณฑ์นี้ผลิตจาก S.aureus จากมนุษย์ โดยสามารถใช้ได้ทั้งการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง 0.5 c.c. 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ 1 c.c. สัปดาห์ละครั้ง

การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะด้วยหลักการที่นอกเหนือออกไปควรระมัดระวังในการใช้ถ้าสาเหตุของการเกิดโรคยังไม่สามารถระบุหรือจัดการได้ การรักษาด้วยแชมพูต้านแบคทีเรียไม่ประสบผลสำเร็จ การรักษาด้วยการกระตุ้นภูมิคุ้มกันไม่ได้ผลหรือถูกปฏิเสธ การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะด้วยหลักการที่นอกเหนือออกไปนี้อาจจะถูกเลือกเป็นหนทางสุดท้าย หลักการของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะด้วยหลักการที่นอกเหนือออกไปคือการลดการกลับมาเป็นใหม่โดยการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ ปริมาณในการให้ที่ยอมรับคือ 2 หรือ 3 วันติดต่อกันต่อสัปดาห์ในขนาดเต็มโด๊สทุกวัน หรือให้ทุกๆ สัปดาห์โดยมีช่วงหยุดยา 2 และ 3 สัปดาห์ต่อครั้ง ยาปฏิชีวนะที่เลือกใช้ประกอบด้วย cephalexin, cefpodoxine, fluoroquinolone (enrofloxacin, marbofloxacin) และ clavulanate-potentiated amoxicillin

ความร่วมมือจากเจ้าของในระยะยาวมีผลต่อความสำเร็จของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะด้วยหลักการที่นอกเหนือออกไป การศึกษาความร่วมมือจากเจ้าต่อการรักษาที่แนะนำเปรียบเทียบกับการรักษาที่ได้รับพบว่ามีการศึกษาต่ำมากในทางสัตวแพทย์ ส่วนการศึกษาในทางการแพทย์บ่งชี้ว่าสูงถึง 40% ของคำแนะนำการให้ยาทำได้ไม่ครบถ้วน ส่วนที่เหลือที่ทำได้ครบถ้วนมีถึง 40% ที่ให้แบบผิดวิธี การให้ยาเพียงหนึ่งครั้งต่อวันอาจจะเป็นทางดีกว่าสำหรับความร่วมมือจากเจ้าของ

ความล้มเหลวในการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะด้วยหลักการที่นอกเหนือออกไปอาจจะเกิดจากการขาดความรู้หรือการจัดการที่ประสบความสำเร็จต่อสาเหตุของโรคที่แท้จริง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่ทำให้เกิดอาการคัน และโรคภูมิแพ้) การขาดระยะเวลาการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่เพียงพอก่อนจะเปลี่ยนมารักษาด้วยยาปฏิชีวนะด้วยหลักการที่นอกเหนือออกไป การขาดความร่วมมือของเจ้าของ หรือการดื้อต่อยาปฏิชีวนะ

โรคผิวหนังอักเสบในสุนัขจากเชื้อ Malassezia (Canine Malassezia Dermatitis)

โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia เป็นโรคที่พบบ่อยของโรคผิวหนังในสุนัขซึ่งเกิดจากเชื้อ Malassezia pachydermatis (Pityrosporum pachydermatis, P.Canis) เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าเชื้อนี้เป็นเชื้อประจำถิ่นในสุนัขโดยอาศัยอยู่บนผิวหนัง ในช่องหู ต่อมกลิ่น ช่องคลอด หรือลำไส้ใหญ่ส่วนท้าย แต่ปัจจุบันรู้กันว่าเชื้อเหล่านี้เป็นเชื้อแทรกซ้อนสำหรับสุนัขที่เกิดอาการคัน ในปี 1987 เชื้อ Malassezia pachydermatis ถูกโต้แย้งโดย Mason ว่ามีความเกี่ยวข้องกันกับสาเหตุของอาการคันในโรคผิวหนังอักเสบในสุนัข Mason ตั้งสมมุติฐานว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบการต่อต้านเชื้อของร่างกายและสภาวะพื้นผิวของผิวหนังทำให้เชื้อนี้กลายเป็นเชื้อฉวยโอกาสได้

บทบาทของการเกิดภาวะภูมิไวเกินและโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia ยังคงขัดแย้งกันอยู่ สุนัขที่แสดงอาการคันจากโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia จะสร้าง IgE-mediated ซึ่งเป็นภาวะภูมิไวเกินชนิดที่ 1 ต่อต้านสารสกัดโปรตีนภายในเซลล์ของเชื้อ M.pahydermatis นอกจากนี้ ปฏิกิริยาภาวะภูมิไวเกินทั้งที่เกิดแบบทันทีและแบบเกิดตามมาทีหลังยังถูกพบได้ในสุนัขที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบของต่อมไขมัน (seborrheic dermatitis) ถึงแม้ว่าโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia อาจจะเป็นโรคของภาวะภูมิไวเกินแต่จำนวนของเชื้อที่ทำให้เกิดอาการของโรคยังไม่มีการระบุ การเพิ่มจำนวนของเชื้อบนพื้นผิวของผิวหนังโดยไม่มีการแทรกเข้าไปในเนื้อเยื่อก็สามารถทำให้เกิดโรคได้ การเพิ่มจำนวนขึ้นพร้อมกันหรือติดเชื้อ Staphylococcus intermedius อาจจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบคล้ายกับโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia ได้

สัตวแพทย์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังเนื่องจากเชื้อที่พบในสุนัขอาจจะเป็นเชื้อก่อโรคโดยบังเอิญในทางเดินหายใจของมนุษย์ได้ การเกิดโรคในลูกสัตว์ที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำในบริเวณที่มีการให้การดูแลอย่างดีแสดงให้เห็นว่าโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia ในสุนัขใช้งานสุขภาพดีอาจจะเป็นสาเหตุของการก่อโรค

ปัจจัยโน้มนำของการเกิดโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia ประกอบด้วย โรคภูมิแพ้ของผิวหนัง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคผิวหนังที่ไม่ทราบสาเหตุ) โรคการจัดเรียงตัวของเซลล์ผิวหนัง โรคผิวหนังแบบเรื้อรังหรือกลับมาเป็นซ้ำและการรักษาก่อนหน้าด้วยยาปฏิชีวนะและคอร์ติโคสเตอรอยด์ (corticosteroids) มีรายงานว่าสายพันธุ์สุนัขที่มักเป็นโรคนี้ประกอบด้วย Basset Hound, Springer Spaniel, German Shepherd, West Highland White Terrier, Silky, Maltese, Chihuahua, Poodle, Shetland Sheepdog, Dachshund และ Australian Terrier สายพันธุ์ Newfoundland อาจจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วย

Mason รายงานตั้งแต่เริ่มแรกว่ามี 3 กลุ่มอาการที่แตกต่างจากกันชัดเจนซึ่งประกอบด้วย โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia แบบเป็นสาเหตุหลัก แบบเป็นสาเหตุรองและกลุ่มอาการที่พบน้อยมากซึ่งแสดงออกด้วยอาการคันอย่างรุนแรงและการทำร้ายตัวเอง โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia แบบเป็นสาเหตุรองพบบ่อยที่สุดและสัมพันธ์กับโรคผิวหนังอักเสบแบบเรื้อรัง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือมีกลิ่นของไขมัน (seborrheic odor) และอาการคันอย่างรุนแรง โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia แบบเป็นสาเหตุหลักจะแสดงอาการที่วินิจฉัยได้และตอบสนองอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์ต่อการรักษาด้วยยาต้านเชื้อยีสต์โดยปราศจากการกลับมาเป็นซ้ำ กลุ่มอาการที่ 3 พบน้อยมากคืออาการคันอย่างรุนแรงและการทำร้ายตัวเองบริเวณรอบจมูกหรือรอบก้นและเจ้าของอาจจะเข้าใจว่าสุนัขกำลังแสดงอาการชัก

วิการอาจจะเป็นแบบเฉพาะที่เดียว หลายที่ หรือทั่วบริเวณ การเกิดปื้นแดง (erythema) การเพิ่มจำนวนเม็ดสี (hyperpigmentation) ขนร่วง (alopecia) การเกิดสะเก็ดคล้ายไลเคน (lichenification) ตกสะเก็ดและ/หรือมันเยิ้ม (scaliness and/or greasiness) ผิวหนังอักเสบแบบเป็นมีน้ำไหลเยิ้ม (exudative dermatitis) และมีกลิ่นเหม็นอับไขมัน (musty seborrheic odor) พบได้ทั่วไป อาการคันเป็นอาการทางคลินิกอย่างหนึ่งที่พบร่วมกัน วิการอาจจะมีขอบเขตชัดเจนและผิวหนังบริเวณใกล้เคียงอาจจะไม่มีการอักเสบและมีขนขึ้นเป็นปกติ อาการขนร่วง มีไขมันเยิ้ม เกิดสะเก็ดคล้ายไลเคนจะค่อยๆ ขยายไปรอบนอก ตำแหน่งที่มักพบบ่อย ได้แก่ ด้านใต้คอ ใต้ท้อง บริเวณรักแร้ ใบหน้า ใบหู เท้า ขาหน้าและบริเวณที่มีรอยพับของผิวหนัง

การตรวจเซลล์วิทยาของผิวหนังเป็นวิธีการวินิจฉัยที่เหมาะสม การทำ skin biopsy มีประโยชน์น้อย การเพาะเชื้อยีสต์ไม่แนะนำให้ทำ การทำ skin biopsy อาจจะไม่มีประโยชน์เนื่องจากการทำจุลพยาธิวิทยา (histopathology) ของวิการที่พบเชื้อจำนวนมากจากการทำเซลล์วิทยาอาจจะไม่พบเชื้อก็ได้ ซึ่งการขัดแย้งกันนี้สามารถอธิบายได้โดยการกระจายตัวแบบไม่เป็นเส้นตรง (non-linear distribution) ของเชื้อหรือการกำจัดเชื้อออกไปในระหว่างกระบวนกาอัตโนมัติ

ยังคงมีการโต้เถียงกันอยู่ถึงวิธีการในการเก็บตัวอย่างเชื้อที่ดีที่สุด การขูดผิวหนัง (skin scraping) การใช้สำลีป้ายเชื้อ (cotton swabs) การป้ายเชื้อโดยตรง (direct impression smear) การติดเชื้อด้วยเทป (tape stripping) และการใช้สไลด์เหนียว (sticky glass slides) เป็นวิธีการที่แนะนำ ในการทำการขูดผิวแบบแห้งสิ่งที่ขูดได้จะถูกนำมาป้ายบนกระจกสไลด์ ถ้าใช้สำลีป้ายเชื้อแบบแห้งสิ่งที่ติดมาจะถูกถ่ายลงบนกระจกสไลด์ แต่การป้ายเชื้อโดยตรงอาจจะนำไปใช้ได้เลยเนื่องจากกระจกสไลด์จะถูกกดโดยตรงกับบริเวณเกิดวิการ การติดเชื้อโดยใช้เทปใสจะใช้เมื่อต้องการตัวอย่างโดยใช้เทปเป็นกระจกปิดสไลด์และใช้แทนป้ายของการย้อมสีบนกระจกสไลด์ ตัวอย่างจะถูกย้อมสีด้วยการย้อมแบบเร็ว (Dif Quik®) และตรวจโดยใช้เลนส์จุ่มน้ำมัน การพบเชื้อจำนวนอย่างน้อยที่สุด 3 หรือ 4 เซลล์ต่อบริเวณเลนส์จุ่มน้ำมันจะถือว่ามีนัยสำคัญโดยสัตวแพทย์จำนวนมาก

ในการวินิจฉัยที่แน่นอน สัตวแพทย์จะต้องตรวจพบอาการทางคลินิกที่บ่งชี้ถึงโรคและพบปริมาณเชื้อในจำนวนที่เพียงพอที่จะเป็นเชื้อก่อโรค การหาสาเหตุโน้มนำของโรคเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการที่ประสบผลสำเร็จ ถ้ามีการรักษาโรคผิวหนังอักเสบในสุนัขจากเชื้อ Malassezia ด้วยการรักษาแบบธรรมดาเหมือนการรักษาการเพิ่มจำนวนของเชื้อยีสต์ก็จะพบการกลับมาเป็นซ้ำได้อีก

การรักษาที่เหมาะสมต้องดำเนินไปตามการจัดการของสาเหตุหลักหรือสาเหตุโน้มนำที่มีเอกสารประกอบ สัตวแพทย์จะต้องควบคุมหรือรักษาสาเหตุของโรคโดยฆ่าเชื้อโรคด้วยการให้การรักษาทางระบบและการทา และหวังว่าจะไม่กลับมาเป็นโรคซ้ำอีก

การรักษาโดยการให้ยาต้านเชื้อราทางระบบเป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้วิการดีขึ้นอย่างรวดเร็วและจำกัดปริมาณของเชื้อได้ คุณสมบัติของยาตัวยาคีโตโคนาโซล (ketoconazole) ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงได้ (200 มิลลิกรัมต่อเม็ด ~ $0.80 หรือถูกกว่า) แต่อย่างไรก็ตามการรักษาทางระบบก็ยังคงมีราคาสูงอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนัขพันธุ์ใหญ่ ยาคีโตโคนาโซลจะให้ทางการกินในปริมาณ 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หนึ่งครั้งต่อวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 30 วัน (อาการที่ดีขึ้นบางอย่างอาจจะเป็นผลมาจากการต้านการอักเสบที่ได้ผลหรือผลของการเกิดการสร้างเคอราติน (keratinization) เมื่อใช้คีโตนาโซล สัตวแพทย์บางท่านสนับสนุนให้เฝ้าระวังค่าเอนไซม์ของตับในระหว่างการรักษาเนื่องจากมีผลที่เป็นไปได้ว่ายามีความเป็นพิษต่อตับในมนุษย์ แต่ก็มีทางเลือกในการใช้ยาตัวอื่น เช่น itraconazole (Sporonox®--Janssen) สามารถให้ได้ในขนาด 5 mg/kg (โดยทางการกิน 1 ครั้งต่อวัน) หรืออาจจะให้ฟลูโคนาโซล (Dilucon®--Roerig) ทางการกินในขนาด 5 mg/kg 1 ครั้งต่อวัน ซึ่งขณะนี้ยา Fluconasol จำหน่ายแล้วทั่วไป

การรักษาด้วยแชมพูแบบอาบถือว่ามีความจำเป็นในการรักษาด้วย โดยสามารถใช้รักษาได้เพียงอย่างเดียวถ้ามีข้อจำกัดทางการเงินซึ่งต้องมีการใช้อย่างน้อยที่สุด 2 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ ผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ประกอบด้วยตัวยามิโคนาโซล/คลอเฮกซิดีน กลูโคเนต (miconazole/chlorhexidine gluconate)--MalaSeb® (Dermacare, IVX) คีโตโคนาโซล/คลอเฮกซิดีน กลูโคเนต (ketoconazole/chlorhexidine gluconate)--KetoChlor™ และ อะซิติก แอซิด/บอริก แอซิด (acetic acid/boric acid)--MalaAcetic® (Dermapet) ประสิทธิภาพของการรักษาด้วยยาที่ทาทิ้งไว้มักไม่ได้ผล อีนิลโคนาโซล (enilconazole) (Imaverol®--Janssen) มีใช้เฉพาะในบางประเทศเท่านั้น

โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia ชนิดที่กลับมาเป็นอีกเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปและเป็นหนึ่งในโรคผิวหนังของสุนัขที่รักษาไม่หาย โรคนี้คล้ายกับโรคผิวหนังอักเสบแบบมีหนองชนิดกลับมาเป็นอีกโดยจากการวินิจฉัยมักพบว่าโรคผิวหนังชนิดเป็นถาวรเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia ชนิดที่กลับมาเป็นอีกบ่อยที่สุด โรคผิวหนังอักเสบในสุนัขจากเชื้อ Malassezia ชนิดที่กลับมาเป็นอีกมักเกิดร่วมกันกับโรคผิวหนังชั้นบนอักเสบแบบมีหนองชนิดกลับมาเป็นอีก (recurrent superficial pyoderma) สุนัขที่มีความเสี่ยงควรอาบน้ำด้วยแชมพูอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ การใช้แชมพูต้านเชื้อราควรจะใช้ประกอบการรักษาในทุกรายของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อ Malassezia ชนิดที่กลับมาเป็นอีก การใช้ยาคีโตโคนาโซลต่อเนื่องระยะยาวอาจจะมีประโยชน์ในการรักษาด้วย

 
 
 
บริษัท เบสท์อะโกร คอมพาเนี่ยน จำกัด ขอแสดงความยินดีกับ สัตวแพทยศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุกท่าน
บริษัท เบสท์อะโกร คอมพาเนี่ยน จำกัด ขอแสดงความยินดีกับ สัตวแพทยศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุกท่าน และขอต้อนรับบัณฑิตใหม่สู่ เบสท์อะโกร กรุ๊ป ของเรานะค่ะ น้องนุ่น น้องเล็ก และน้องเนี๊ยบ
 
Home | Best Agro | Best Agro Companion | Porq | Knowledge | Webboard | Job | Contact Us
BEST AGRO CO., LTD.
1/7 Moo 19 Kanchanapisek Rd., Salathammasolp,Taveewattana Bangkok Thailand
Tel 662 8856885 Fax 662 8859559
Copyright 2009. Best Agro Co., Ltd. All rights reserved.